🗺️ บันทึกตกผลึก #6 : แผนที่การเดินทางภายใน - เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนชีวิต

สวัสดีค่ะทุกคน 🥰

วันนี้มาต่อกันค่ะ.....จาก บันทึกการตกผลึก #5 ที่เราได้เปรียบเทียบการเดินทางภายใน คือการปรับจูนคลื่นสมอง เหมือนการจูนคลื่นวิทยุ และได้รู้จักระดับ 'เสียงรบกวน หรือ แรงต้าน ของ Ego' ในคลื่นสมองแต่ละขั้นกันแล้วนะคะ... ในวันนี้ แจนจะขอต่อยอดเรื่องนี้ให้ชัดขึ้น โดยใช้ภาพเปรียบเทียบอีกภาพหนึ่งค่ะ 😊

แจนมักจะเปรียบเทียบสภาวะจิตของเรา ที่สะท้อนให้เห็นเป็นคลื่นสมอง เหมือนการยืนอยู่บน ตึกสูงแห่งหนึ่ง แล้วมองลงมายัง 'ปัญหา' หรือ 'สถานการณ์' ในชีวิตของเราค่ะ...

ลองมามองปัญหาเรื่องรถติดกันค่ะ.....จาก ชั้นล่างสุด (Beta) เราอยู่ในระนาบเดียวกับปัญหา เราเผชิญกับปัญหารถติดตรงหน้า... สู่ ชั้นที่สูงขึ้น (Alpha) มองเห็นได้รอบด้านและไกลขึ้น เราเริ่มมองเห็นว่ารถติดเพราะอะไร... และ ชั้นที่สูงขึ้นไปอีก (Theta) ที่เราเห็นภาพใหญ่ เข้าใจถึง 'รูปแบบ' และ 'ระบบ' ของถนนในบริเวณพื้นที่ที่เราอยู่... และสุดท้ายคือ ชั้นดาดฟ้าที่เปิดโล่ง (Gamma) ที่ซึ่งเราจะมองเห็นทุกอย่างจาก 'Top View' ค่ะ

---

💎 ความเข้าใจ #1: ยิ่งผ่อนคลาย ยิ่งเห็นทางออก - มุมมองจากชั้นต่างๆ ของตึก

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าคลื่นสมองแต่ละขั้นคืออะไร เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยค่ะว่า ยิ่งคลื่นสมองของเราผ่อนคลายมากขึ้นเท่าไหร่ มุมมองต่อปัญหา และความสามารถในการแก้ปัญหาของเราก็จะยิ่งดีขึ้นตามไปด้วย

• ชั้น Beta (อยู่ระนาบเดียวกับปัญหา): เมื่อเรายืนอยู่ชั้นล่างสุด เรากำลังอยู่ใน Fear-based Ego Mode เราเผชิญปัญหาในระยะประชิด พร้อมชน เราจะรู้สึกจนตรอกและทำได้แค่ 'ตอบโต้' (React) กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยอารมณ์และความเคยชินเดิมๆ การแก้ปัญหาในระดับนี้จึงมักเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่สร้างปัญหาใหม่ตามมาเสมอ

  
  

• ชั้น Alpha (เริ่มเห็นทางออก): เมื่อเราขึ้นมาที่ชั้น Alpha ด้วยการฝึกปล่อย ถอย ลอยตัว ให้ตัวเองผ่อนคลายและสงบลง เราจะเริ่มลอยตัวมองปัญหาจากมุมสูงขึ้น เห็นองค์ประกอบต่างๆ และ ที่มาที่ไป เข้าใจปัญหามากขึ้น เราจะเปลี่ยนจากการ 'ตอบโต้' มาเป็นการ 'ตอบสนอง' (Respond) อย่างมีสติ เราจะเริ่มมองเห็นทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

  
  

• ชั้น Theta (เข้าใจรากของปัญหา และ ประตูสู่โลกภายใน): จากชั้นที่สูงขึ้นไปอีก ณ ชั้นนี้ "ตัวตน" ของเราบางลง เริ่มรับรู้ มอง และ เข้าใจปัญหาในระดับพลังงานนั่นเองค่ะ เราจึงเริ่มมองเห็น 'รูปแบบ' ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังปัญหา และ มองปัญหาด้วยใจที่เป็นกลาง ใจที่เป็นธรรมมากขึ้น และเข้าใจว่าทำไมเราถึงดึงดูดสถานการณ์แบบนี้เข้ามาในชีวิตซ้ำๆ การแก้ปัญหาในระดับนี้จึงไม่ใช่แค่การแก้ที่ปลายเหตุ แต่เป็นการ 'แก้ไขที่โปรแกรมความเชื่อในจิตใต้สำนึก' หรือ แก้ในระดับสนามพลังงานของเรานั่นเอง ซึ่งเป็นรากเหง้าของปัญหาทั้งหมด

  
  

  และที่ชั้น Theta นี้เองค่ะ ที่ถือเป็น 'ประตูสู่โลกภายใน' เพราะเป็นสภาวะ ที่ 'สมองส่วนคิดวิเคราะห์' ของเรา และ Ego จะเงียบลงไปมาก ทำให้เรารับสารจาก Highest Self ชัดเจนมาก นอกจากนี้ หากเข้าสู่ Theta ระดับลึก "กึ่งหลับกึ่งตื่น" ก็จะเริ่มมีประสบการณ์ทางจิตเกิดขึ้นค่ะ เช่น การเดินทางภายใน, การสะกดจิต, การถอดจิต (OOBE) และ การรับข้อมูล (Channeling) หรือ การ Download ข้อมูล เป็นต้นค่ะ

  
  

• ชั้น Gamma (ปัญหาไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป): และจากชั้นดาดฟ้า ที่ไร้แรงต้านจาก Ego เพราะไม่มีความกลัวเหลืออยู่... ปัญหาที่เคยดูใหญ่โตกลับกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ เป็นหนึ่ง jigsaw ที่สำคัญของชีวิต ที่ทำให้ภาพรวมของชีวิตสวยงาม สมบูรณ์แบบ นี่คือประสบการณ์ของ ความกระจ่างแจ้ง (Profound Clarity) จากการมองแบบ 'Top View' อย่างแท้จริงค่ะ

  
  

  ในระดับคลื่น Gamma นี้ เราจะเห็นภาพใหญ่ของชีวิตและความเชื่อมโยงของทุกสรรพสิ่ง เกิดเป็นความรู้สึกเต็มอิ่มในจิตใจ (Wholeness) และ สุขล้น (Bliss) ที่มาจากความกระจ่างแจ้งว่า 'ทุกอย่างล้วนดีงามเสมอ (All is well) และ ทุกอย่างคือหนึ่งเดียวกัน (All is One)' เกิดสภาวะ Surrender หรือ Trust Life ไว้วางใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง และ การรับสารจาก Highest Self จะชัดเจนที่สุด รวมถึง การ Channeling หรือ การ Download องค์ความรู้ต่างๆ ในระดับ Gamma นี้ จะไม่ปนเปื้อน.....เปรียบเสมือนการมองชีวิตผ่านสายตาใสๆของ Highest Self หรือ Source นั่นเองค่ะ

---

💎 ความเข้าใจ #2: พลังแห่งความสอดคล้อง: สภาวะแกมม่าคืออะไร

หัวใจของสภาวะแกมม่า อยู่ที่คำว่า "ความสอดคล้อง" (Coherence) นี่เองค่ะ มันคือคำอธิบายว่า เหตุใดคลื่นสมองที่มี 'ความถี่สูงสุด' (ทำงานมากที่สุด) จึงสร้างประสบการณ์ที่ 'สงบสุขที่สุด' ขึ้นมาได้

เพื่อให้เห็นภาพของ 'พลังแห่งความสอดคล้อง' นี้ได้ชัดเจนที่สุด ลองนึกภาพวงออร์เคสตราขนาดใหญ่ค่ะ...

• ✨ "คลื่นเบต้า (Incoherent High-Beta)" ที่ไม่เป็นระเบียบนี้ ก็เหมือนตอนที่นักดนตรีร้อยชีวิตกำลัง 'ตั้งสาย' เครื่องดนตรีของตัวเอง ทุกคนเล่นโน้ตของตัวเองอย่างวุ่นวาย ทำให้เกิด 'เสียงรบกวน' (Noise) ที่ดังและสับสน

• ✨ "คลื่นแกมม่า (Gamma)" คือตอนที่นักดนตรีร้อยชีวิตนั้นกำลังบรรเลงบทเพลงซิมโฟนีร่วมกัน ทุกเครื่องดนตรี ทุกโน้ต ประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ เกิดเป็น 'พลังเสียง' (Sound) ที่ไพเราะและก้องกังวาน แต่กลับไม่มี 'เสียงรบกวน' เลย

ดังนั้น คลื่นแกมม่าจึงไม่ใช่สภาวะที่สมองหยุดทำงาน แต่เป็นสภาวะที่สมองทุกส่วน ทำงานอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน (Synchronized) ในระดับสูงสุดค่ะ Ego ที่เคยวุ่นวายได้สงบลง และกลับมาทำงานอย่างสอดคล้องกับส่วนอื่นๆ ของสมอง เพื่อสร้างสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวและทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ

---

💎 ความเข้าใจ #3: วงจรความเคยชินทางอารมณ์ที่ "Lock" เราไว้ในคลื่นเบต้า (Beta-Lock)

แจนเจอผู้ร่วมเดินทาง หรือ ผู้ที่เข้ามารับคำปรึกษาติดอยู่กับสภาวะ Beta-Lock หลายท่านเลยค่ะ วันนี้จึงอยากมาสร้างความกระจ่างแจ้งถึงปัญหานี้กันค่ะ....ให้ลองนึกภาพวงจรปิดที่ขับเคลื่อนตัวเองไปเรื่อยๆ นะคะ มันมีขั้นตอนดังนี้:

🌀 ขั้นตอนที่ 1: จุดเริ่มต้น -> ความคิดที่คุ้นเคย

ทุกอย่างเริ่มต้นจาก "ความคิด" ที่เราคิดซ้ำๆ จนเป็นนิสัย ซึ่งมักจะถูกกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม เช่น "ลูกน้องคนนั้นอีกแล้ว" "หนี้สินเดือนนี้จะทำยังไง" "ฉันไม่ดีพอ"

🌀 ขั้นตอนที่ 2: การหลั่งสารเคมี -> ร่างกายเตรียมพร้อมรบ

ทันทีที่ความคิดนั้นเกิดขึ้น สมองจะสั่งให้ร่างกายหลั่ง "สารเคมีแห่งความเครียด" ที่เราคุ้นเคยออกมา นั่นคือ คอร์ติซอล (Cortisol) และ อะดรีนาลีน (Adrenaline)

🌀 ขั้นตอนที่ 3: คลื่นสมองถูก "Lock" -> เข้าสู่โหมดเอาตัวรอด (High-Beta)

สารเคมีเหล่านี้คือสัญญาณ 'เตือนภัย' ที่ส่งผลโดยตรงที่สุด เมื่อมันหลั่งออกมา มันจะบังคับให้สมองเข้าสู่โหมดเอาตัวรอดโดยอัตโนมัติ นั่นคือการสร้าง "คลื่นเบต้าความถี่สูงที่ไม่เป็นระเบียบ" (Incoherent High-Beta)

🔓 นี่คือ "การ Lock ครั้งที่ 1": สารเคมีบังคับให้สมองอยู่ในคลื่นเบต้าเพื่อความอยู่รอด

🌀 ขั้นตอนที่ 4: ความคุ้นชินระดับเซลล์ -> ร่างกายได้รับ "สาร" ที่คุ้นเคย

เซลล์ทั่วร่างกายที่มี "ตัวรับ" (Receptors) สำหรับฮอร์โมนความเครียดเหล่านี้ ก็จะได้รับสารเคมีที่มันคุ้นเคยจน "เคยตัว" นี่คือจุดที่ความคิดกลายเป็น "ความรู้สึกทางกาย" ที่จับต้องได้ เช่น อาการใจสั่น, กล้ามเนื้อเกร็ง, ท้องไส้ปั่นป่วน

🌀 ขั้นตอนที่ 5: ร่างกายเรียกร้อง -> สัญญาณจากความคุ้นชิน

เมื่อเวลาผ่านไปและระดับสารเคมีเริ่มลดลง เซลล์ที่เคยตัวเหล่านี้จะเริ่ม "หิว" และส่งสัญญาณกลับไปที่สมองว่า "เฮ้! ฉันต้องการสารที่คุ้นเคยอีก!"

🌀 ขั้นตอนที่ 6: สมองรับใช้ร่างกาย -> วงจรปิดสมบูรณ์

สมองซึ่งเป็นอวัยวะที่พร้อมจะตอบสนอง จะทำตามความต้องการของร่างกายโดยการ "ขุดคุ้ย สร้างความคิด" ที่มีประจุอารมณ์ลบแบบเดิมขึ้นมาวนคิดใหม่

🔓 นี่คือ "การ Lock ครั้งที่ 2" ที่อันตรายที่สุด: สมองไม่ได้คิดอย่างอิสระอีกต่อไป แต่กำลังทำงานเพื่อ "รับใช้" ความเคยชินของร่างกาย

...วงจรนี้จะหมุนวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขังเราอยู่ในความคิดและความรู้สึกเดิมๆ ซึ่งก็คือการถูกขังอยู่ในสภาวะของคลื่นเบต้าตลอดเวลา เพราะการทำงานซ้ำๆ ของวงจรนี้เอง ที่ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า 'ร่องลึกทางประสาท' ขึ้นมาในสมองของเราค่ะ

🧠 ร่องลึกทางประสาท

สามารถเปรียบเทียบวงจรนี้กับ "การสร้างร่องลึกในสนามหญ้า" ได้ค่ะ

• การคิดและรู้สึกแบบเดิมซ้ำๆ ก็เหมือนการเดินย่ำไปบนเส้นทางเดิมๆ บนสนามหญ้าทุกวัน

• ครั้งแรกๆ อาจจะยากหน่อย แต่เมื่อทำซ้ำเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เส้นทางนั้นจะกลายเป็น 'ร่องลึก' หรือ 'ทางด่วนทางประสาท' (Neural Pathway) ที่ชัดเจนและไปได้ง่ายที่สุด

สมองของเราถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพ มันจะเลือกเดินทางที่ง่ายที่สุดเสมอ ดังนั้น เมื่อมีอะไรมากระตุ้น มันจะวิ่งลงไปใน 'ร่องลึกแห่งความเครียด' (Beta-Lock) โดยอัตโนมัติ การพยายามจะคิดบวกหรือรู้สึกดีในสภาวะนี้ จึงเหมือนการพยายามขับรถฝ่าพงหญ้ารกทึบที่อยู่ข้างๆ ทางด่วน มันต้องใช้พลังงานและเจตจำนงที่มหาศาล"

---

💎 ความเข้าใจ #4: ทางออกไม่ใช่การต่อสู้ แต่คือการ "ขัดจังหวะ" วงจร

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าวงจรความเคยชินทางอารมณ์นี้ทำงานอย่างไร เราจะเห็นว่าทางออกไม่ใช่การใช้ "ความคิด" ไปต่อสู้กับ "ความคิด" ไม่ใช่การพยายาม "บังคับ" ให้ตัวเองรู้สึกดี หรือการ "กดข่ม" ความรู้สึกแย่ๆ เพราะทั้งหมดนั้นคือการออกแรงสู้ในคลื่นเบต้า ซึ่งจะยิ่งทำให้วงจรแข็งแรงขึ้น

ทางออกที่แท้จริงเรียบง่ายกว่านั้นมากค่ะ... มันคือการ "ขัดจังหวะ" (Interrupt) วงจรที่กำลังทำงานโดยอัตโนมัตินี้ เพื่อสร้าง "ช่องว่าง" (Gap) ให้เราได้มีโอกาสเลือกการตอบสนองใหม่ แทนที่จะถูกลากเข้าไปในวังวนเดิมๆ

นี่คือ แผนที่การเดินทางเพื่อออกจากวงจรนั้น ค่ะ:

✅ ขั้นที่ 1: มีสติรู้ตัว (Conscious Awareness) - "อ๊ะ! ฉันกำลังคิดเรื่องนี้อีกแล้ว"

นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดค่ะ คือการที่เรา "จับทัน" ความคิดที่คุ้นเคยซึ่งเป็นจุดสตาร์ทของวงจร ทันทีที่เราสังเกตเห็นว่า "ฉันกำลังคิดเรื่องเดิมๆ... รู้สึกแบบเดิมๆ อีกแล้ว" ในวินาทีนั้นเอง เราได้ดึงตัวเองออกมาจากการเป็น "นักแสดง" ที่เล่นไปตามบท มาเป็น "ผู้สังเกตการณ์" แล้วค่ะ นี่คือการสร้าง "ช่องว่าง" แรกให้เกิดขึ้น

✅ ขั้นที่ 2: หยุดและหายใจ (The Pause & The Breath) - เบรกอัตโนมัติ

เมื่อรู้ตัวแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไป ไม่ใช่การวิเคราะห์ความคิดนั้น แต่คือการ ปล่อย ถอย ลอยตัว "หยุด" ทุกอย่าง และ "หายใจเข้าช้าๆ ยาวๆ ลึกๆ จนถึงก้นปอด และปล่อยลมหายใจออกทางปาก ช้าๆ สบายๆ" การหายใจอย่างมีสติเพียง 2-3 ครั้ง เพื่อปรับระบบประสาท คือเครื่องมือที่ได้ผลที่สุดในการ 'ขัดจังหวะ' สัญญาณเตือนภัยของร่างกาย มันเป็นการส่งสัญญาณบอกสมองว่า "ตอนนี้ปลอดภัย ไม่มีเหตุฉุกเฉิน"

✅ ขั้นที่ 3: ย้ายโฟกัสสู่ร่างกาย (Shift Focus to the Body) - เปลี่ยนจาก "เรื่องราว" สู่ "ความรู้สึก"

แทนที่จะวนเวียนอยู่กับ "เรื่องราว" ในหัว ให้เราย้ายความสนใจมาที่ "ความรู้สึกทางกาย" ที่เกิดขึ้นในตอนนี้... ลองรับรู้ความรู้สึกนั้นด้วยความอยากรู้ อยากเห็น เช่น ความกลัว หรือ กังวลนี้ เกิดขึ้นที่ส่วนไหนของร่างกาย... โดยไม่ตัดสินว่ามันดีหรือไม่ดี การทำเช่นนี้ คือการ "แยก" ความรู้สึกทางกาย ออกจากเรื่องราวความคิดที่เคยผูกติดกัน

✅ ขั้นที่ 4: สร้างความรู้สึกใหม่จากหัวใจ (Cultivate a New Feeling) - ร้อยเรียงระบบประสาทใหม่

เมื่อเราสร้าง "ช่องว่าง" ที่สงบจากการขัดจังหวะวงจรได้แล้ว นี่คือขั้นตอนของการ "เขียนโปรแกรมใหม่" ค่ะ คือการจงใจสร้าง "ความรู้สึก" ใหม่ขึ้นมาแทนที่ วางมือไว้ที่หัวใจ... หายใจเข้าออกช้าๆ... ปิดตาลงเบาๆ แล้วให้นึกถึงภาพคนที่เรารัก ธรรมชาติที่สวยงาม สิ่งที่ดีๆหรือเรื่องราวที่น่าประทับใจ... แล้วพยายาม "รู้สึก" ถึงความรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจนั้นให้ชัดๆ... ใช้เวลาอยู่กับความรู้สึกนั้นสัก 2-3 นาที การสร้างความรู้สึกที่สูงขึ้นนี้ จะทำให้ร่างกายหลั่งสารเคมีชุดใหม่ซึ่งเป็น "ยาถอนพิษ" ของฮอร์โมนความเครียดโดยตรง

🌞 การฝึกฝน 4 ขั้นตอนนี้ซ้ำๆ คือการสร้าง "เส้นทางประสาทสายใหม่" (Neural Pathway) ขึ้นมาในสมอง นี่คือกระบวนการเปลี่ยนจาก Fear-based Ego Mode ไปสู่ Functional Ego Mode โดยใช้ สติ เป็นพลังขับเคลื่อน... มันคือการค่อยๆ คลาย "ตัว Lock" ทั้งสองชั้น และเปลี่ยนจากการเป็น 'ทาส' ของความเคยชินทางอารมณ์ มาเป็น 'นาย' ของสภาวะภายในตัวเองอย่างแท้จริงค่ะ

🎯 สิ่งสำคัญที่สุดคือ 'ความสม่ำเสมอ' ค่ะ การสร้างเส้นทางใหม่ คือการสร้างนิสัยของจิตใหม่ จากจิก จม วนกับปัญหา เปลี่ยนเป็นนิสัยยืดหยุ่น ปล่อย ถอย ลอยตัว.....ก็เหมือนการเริ่มเดินในพงหญ้ารก มันต้องอาศัยการย่ำซ้ำในทุกๆ วัน จนกว่าเส้นทางนั้นจะชัดเจนและเดินได้ง่าย อย่าเพิ่งท้อแท้หากในช่วงแรกยังรู้สึกว่าเผลอกลับไปใช้ 'ทางด่วน' เส้นเดิมอยู่บ่อยๆ ขอเพียงแค่มีสติรู้ตัว เท่าทัน และกลับมาฝึกฝนต่อ นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุดของกระบวนการแล้วค่ะ...หากเปลี่ยนนิสัยจิตได้แล้ว มันคุ้มค่ามากค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ😊

ในบันทึกครั้งหน้า เราจะมาเจาะลึกในรายละเอียดของสภาวะคลื่นสมองแกมม่า (Gamma) และประสบการณ์จากชั้นดาดฟ้า ซึ่งเป็นปลายทางของแผนที่นี้กันในบันทึกตกผลึกตอนหน้า นะคะ 🥰

สนใจเรียนรู้รายละเอียดเพิ่มเติมดูคลิปนี้ได้ค่ะ

𝐖𝐢𝐭𝐡 𝐃𝐞𝐞𝐩 𝐋𝐨𝐯𝐞 & 𝐑𝐞𝐬𝐩𝐞𝐜𝐭 𝐭𝐨 𝐀𝐥𝐥 𝐋𝐢𝐟𝐞 𝐀𝐬 𝐎𝐧𝐞 💕