🗺️ บันทึกถอดรหัส #3: สาส์นจากฝัน (ต่อ) | ไฟเตือนหน้าปัด และ แผนที่จากความทรงจำของจักรวาล

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ที่รักทุกคน 🥰

ในบันทึกฉบับที่แล้ว เราได้เปิดอ่าน "จดหมาย" จากฝัน ที่มายืนยันการเติบโตของเรากันไปแล้วนะคะ เป็นความรู้สึกดีๆ ที่เหมือนมีเสียงกระซิบให้กำลังใจจากข้างในว่า "เธอมาถูกทางแล้วนะ"

วันนี้ แจนอยากชวนมาเปิดอ่านจดหมายอีก 2 รูปแบบ จากฝัน ที่เหลือกันค่ะ ซึ่งบางครั้งอาจจะมาในรูปแบบที่ทำให้เราใจหาย หรือเต็มไปด้วยความสับสน แต่ลึกๆ แล้ว ข้อความเหล่านั้นก็เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดีไม่ต่างกันเลย นั่นก็คือฝันที่เป็นเหมือน "สัญญาณเตือน" และฝันที่พาเราไปเห็น "ชีวิตใน 𝐓𝐢𝐦𝐞𝐥𝐢𝐧𝐞 หรือ มิติ อื่น" ค่ะ

ถ้าพร้อมแล้ว เรามาลองถอดรหัสข้อความที่ลึกซึ้งเหล่านี้ไปด้วยกันนะคะ

---

💌 จดหมายฉบับที่ 2: 'ไฟเตือนหน้าปัด' สัญญาณรักที่ต้องใส่ใจ

เคยฝันว่ากำลังจะเข้าห้องสอบ แต่เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้อ่านหนังสือเลยสักตัวไหมคะ?

สำหรับแจน ความฝันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลยค่ะ แต่เป็นเหมือน "ไฟเตือน" บนหน้าปัดรถยนต์ชีวิตของเรา มันไม่ได้มาเพื่อทำให้เราตกใจ แต่มาเพื่อส่งสัญญาณด้วยความรักว่า "มีบางอย่างนะที่ต้องหันมาใส่ใจดูแล ก่อนที่รถของเราจะวิ่งต่อไปไม่ไหว"

การเผชิญหน้ากับความกลัวในฝัน

เมื่อก่อน เวลาแจนฝันแบบนี้ จะรู้สึกรนรานและทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ ตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกไม่ดีที่ติดค้างในใจ แต่ในช่วงหลังๆ มานี้ เรื่องราวในฝันเริ่มเปลี่ยนไปค่ะ... แทนที่จะตื่นตระหนก แจนในฝันกลับเดินเข้าไปหาอาจารย์อย่างสงบ แล้วบอกท่านตามตรงว่า "ยังไม่ได้อ่านหนังสือเลยค่ะ ไม่พร้อมจะสอบ ขออนุญาตสอบทีหลัง หรือให้เรียนเสริมช่วง summer ก็ได้ค่ะ"

• ภาพสะท้อน: พฤติกรรมในฝันที่เปลี่ยนจาก "การจมอยู่กับความกลัว" มาเป็น "การกล้าเผชิญหน้า" และหาทางออกอย่างสร้างสรรค์นั้น เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนมากค่ะว่า สภาวะภายในของเราได้เติบโตขึ้นแล้ว เราไม่ได้ถูกจองจำด้วยความกลัวที่จะ "ดีไม่พอ" อีกต่อไป แต่เรากล้าที่จะยอมรับความจริง ("ฉันยังไม่พร้อม") และสื่อสารความต้องการของตัวเองอย่างอ่อนโยน

  
  

• บทพิสูจน์: หลังจากที่แจนกล้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์ในฝันแบบนี้อยู่พักหนึ่ง ความฝันเรื่องนี้ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยค่ะ มันคือบทพิสูจน์ว่าเมื่อเราได้ยิน "สัญญาณเตือน" และลงมือ "ซ่อมบำรุง" ความรู้สึกข้างในของเราแล้ว ไฟเตือนนั้นก็จะดับไปเอง

---

🗺️ จดหมายฉบับที่ 3: 'แผนที่จากความทรงจำของจักรวาล'

ในความเป็นจริงของมิติพลังงาน ประสบการณ์ชีวิตของเราในทุก 𝐓𝐢𝐦𝐞𝐥𝐢𝐧𝐞 เกิดขึ้นพร้อมๆ กันหมดค่ะ แต่จากมุมมองของมิติที่ 3 ที่มีเรื่องของระยะทางและกาลเวลาที่เราคุ้นเคย การเดินทางในฝันรูปแบบนี้จึงอาจดูเหมือนการมองย้อนไปใน "อดีต" หรือมองล่วงหน้าไปยัง "อนาคต" ค่ะ

และนอกจากการที่จิตของเราจะเข้าไปดึงข้อมูลจาก 𝐓𝐢𝐦𝐞𝐥𝐢𝐧𝐞 ต่างๆ ในสนามพลังงาน (Toroidal field) ของตัวเองแล้ว ในทุกๆ คืน จิตเดิมแท้ของเรา (𝐇𝐢𝐠𝐡𝐞𝐬𝐭 𝐒𝐞𝐥𝐟/𝐀𝐓𝐌𝐀) ก็มีการเดินทางออกไปนอกร่างกาย (𝐎𝐮𝐭-𝐨𝐟-𝐁𝐨𝐝𝐲 𝐄𝐱𝐩𝐞𝐫𝐢𝐞𝐧𝐜𝐞) เพื่อเรียนรู้และมีประสบการณ์ในมิติอื่นๆ ด้วยเช่นกันค่ะ ซึ่งเรื่องราวการผจญภัยเหล่านั้น ก็สามารถถูกส่งกลับมาและปรากฏเป็นภาพความฝันให้เราได้สัมผัสด้วยค่ะ

ตัวอย่าง: ความฝันเรื่องสึนามิที่ตามหลอกหลอน

• ความฝัน: แจนเคยฝันซ้ำๆ ว่าตัวเองเป็นผู้ชาย กำลังวิ่งหนีคลื่นสึนามิขนาดยักษ์สุดชีวิต และทุกครั้งที่ฝัน...บทสรุปก็เหมือนเดิมเสมอ คือหนีไม่รอด หนีไม่ทันค่ะ ทุกครั้งที่ตื่นมา จะรู้สึกหมดแรงและหัวใจเต้นรัวด้วยความกลัวที่สมจริงมากๆ

• คำตอบจากการเดินทางภายใน: ความฝันนี้เป็นปริศนาอยู่หลายปี จนกระทั่งแจนได้คำตอบจากการเดินทางภายในผ่านการสะกดจิต ซึ่งพาแจนย้อนกลับไปสัมผัสชีวิตในภพชาติหนึ่ง ที่แจนเคยเป็นผู้นำชุมชนบนเกาะฟิจิ ซึ่งเป็นดินแดนของ เลมูเรีย (𝐋𝐞𝐦𝐮𝐫𝐢𝐚) ในยุคที่กำลังเกิดเหตุการณ์ 𝐏𝐨𝐥𝐞 𝐒𝐡𝐢𝐟𝐭 หรือแกนโลกพลิกกลับขั้ว เมื่อแสนปีที่แล้ว.....ในชาตินั้น แจนรับรู้ล่วงหน้าถึงภัยพิบัติใหญ่ และได้พยายามทำหน้าที่ผู้นำเพื่ออพยพผู้คนให้ขึ้นไปในที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่สุดท้ายตัวเองก็หนีไม่ทันคลื่นยักษ์นั้น และได้เลือกที่จะเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบด้วยการเข้าสมาธิในวาระสุดท้ายของชีวิต

• การเยียวยา: ความฝันเรื่องสึนามิ ไม่ใช่แค่จินตนาการที่น่ากลัว แต่คือ "คลื่นพลังงาน" หรือ "ความทรงจำที่ส่งข้ามภพ" (𝐄𝐧𝐞𝐫𝐠𝐞𝐭𝐢𝐜 𝐁𝐥𝐞𝐞𝐝-𝐭𝐡𝐫𝐨𝐮𝐠𝐡) จากประสบการณ์ที่รุนแรงในอดีต 𝐇𝐢𝐠𝐡𝐞𝐬𝐭 𝐒𝐞𝐥𝐟 ไม่ได้ต้องการทำให้เรากลัว แต่ Highest Self กำลังมอบ "แผนที่" ที่ชี้ไปยังบาดแผลเก่าแก่และความรู้สึกรับผิดชอบอันหนักอึ้งที่ยังตกค้างอยู่ในสนามพลังงาน เพื่อให้เราได้เข้าใจและเยียวยามัน และทันทีที่แจนได้ "เข้าใจ" เรื่องราวทั้งหมด ได้กลับไปส่งความรักและปลดปล่อยพลังงานนั้น ความฝันที่เคยตามหลอกหลอนมานานก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยค่ะ นี่คือบทพิสูจน์ที่สวยงามว่า "ความเข้าใจ คือการเยียวยาที่ดีที่สุด" จริงๆ ค่ะ

การเห็นอนาคต (ฝันบอกเหตุ)

นอกจากนี้ การเดินทางไปยัง 𝐓𝐢𝐦𝐞𝐥𝐢𝐧𝐞 อื่น ก็อาจเป็นการพาเราไปเห็น "ความเป็นไปได้ในอนาคต" หรือที่หลายคนเรียกว่า "ฝันบอกเหตุ" ได้เช่นกันค่ะ มันคือการที่จิตของเราสั่นสะเทือนไปตรงกับพลังงานของอนาคตที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นมากที่สุด ทำให้เราได้เห็นภาพนั้นล่วงหน้า ไม่ใช่คำทำนายที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เป็นเหมือน "พยากรณ์อากาศ" ที่ 𝐇𝐢𝐠𝐡𝐞𝐬𝐭 𝐒𝐞𝐥𝐟 ส่งมาให้เราได้เตรียมตัว เตรียมร่ม หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงพายุฝนนั้นค่ะ

---

✨ จดหมายฉบับพิเศษ: เมื่อเรากลายเป็น 'ผู้เขียน' ในความฝัน (𝐋𝐮𝐜𝐢𝐝 𝐃𝐫𝐞𝐚𝐦)

เมื่อเรากลายเป็น 'ผู้ฟัง' และ 'นักถอดรหัส' ที่ดีขึ้น ประกอบกับการฝึกเดินทางภายในอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเปิดประตูสู่มิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของการเดินทางในฝันค่ะ นั่นคือการกลายเป็น 'ผู้ร่วมสร้างสรรค์' ในความฝัน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ 𝐋𝐮𝐜𝐢𝐝 𝐃𝐫𝐞𝐚𝐦 ค่ะ

กลไกของ 𝐋𝐮𝐜𝐢𝐝 𝐃𝐫𝐞𝐚𝐦

• สภาวะที่ตื่นรู้: 𝐋𝐮𝐜𝐢𝐝 𝐃𝐫𝐞𝐚𝐦 คือสภาวะที่เรา "ตื่น" ขึ้นมาในความฝัน เรารู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ค่ะ ซึ่งกลไกนี้ก็เหมือนกับการ "เข้าสมาธิเดินทางภายใน" เลยค่ะ ที่เราฝึกให้ 'จิตสำนึก' (𝐂𝐨𝐧𝐬𝐜𝐢𝐨𝐮𝐬 𝐌𝐢𝐧𝐝) สามารถตื่นรู้ และเข้าไปสำรวจในพื้นที่ของ 'จิตใต้สำนึก' (𝐒𝐮𝐛𝐜𝐨𝐧𝐬𝐜𝐢𝐨𝐮𝐬 𝐌𝐢𝐧𝐝) เพื่อเข้าไปถอดบทเรียน ปลดล็อคปมปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลกระทบในชีวิต....จากที่เป็นเพียง 'ผู้โดยสาร' ที่มองดูเรื่องราวที่จิตใต้สำนึกฉายให้ดู เราจึงกลายเป็น 'คนขับ' ที่สามารถมีส่วนร่วมและเปลี่ยนแปลงเส้นทางในฝันนั้นได้

การเปลี่ยนบทบาทในฝัน:

• ภาพเปรียบเทียบ: ปกติแล้วจิตใต้สำนึกของเราก็เหมือน 'ผู้กำกับ' ที่ฉายหนังให้เราดูตาม 'บท' ที่มีอยู่เดิมค่ะ แต่พอเราเกิด 𝐋𝐮𝐜𝐢𝐝 𝐃𝐫𝐞𝐚𝐦 ขึ้นมา มันเหมือนกับ 'ตัวเรา' ที่เป็นจิตสำนึก ได้ตื่นขึ้นมากลางกองถ่าย แล้วรู้ว่าทั้งหมดนี้คือการถ่ายทำ เราจึงสามารถใช้เจตจำนงของเราเข้าไปมีส่วนร่วม หรือแม้กระทั่งลอง 'เปลี่ยนบท' ด้วยตัวเองได้เลย

ความสำคัญของการเปลี่ยนเรื่องราวในฝัน:

ความสำคัญของมันอยู่ที่การเปลี่ยนบทบาทของเราอย่างสิ้นเชิงค่ะ... จากการเป็นเพียง 'ผู้รับ' ประสบการณ์ที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้น มาเป็นการ 'ผู้ร่วมสร้างสรรค์' ที่สามารถเข้าไป 'เขียนบท' แห่งการเยียวยาและเติบโตได้ด้วยตัวเอง มันคือการเข้าไปจัดการกับความกลัวหรือปมปัญหาต่างๆ ที่ 'ราก' ของมันโดยตรง ในมิติของพลังงานและสัญลักษณ์... แทนที่จะรอแก้ไขที่ 'ผลลัพธ์' ในโลกตอนตื่น

• การประกาศอิสรภาพ: ทุกครั้งที่เราฝึกเปลี่ยนเรื่องราวในฝัน ก็เหมือนเรากำลังประกาศอิสภาพให้กับจิตสำนึกของเรา และยืนยันว่าเราคือผู้สร้างสรรค์ชีวิตของตัวเอง... ทั้งในยามหลับและยามตื่นค่ะ

แล้วถ้าเพื่อนๆ สามารถเข้าไปเปลี่ยนเรื่องราวในฝันของตัวเองได้... มีเรื่องไหนที่อยากจะลองเข้าไปเขียนบทใหม่เป็นเรื่องแรกคะ?

---

💎 บทสรุป: จากจดหมายลึกลับ... สู่กระจกเงาในทุกเช้า

ไม่ว่าความฝันจะมาในรูปแบบไหน จะมายืนยัน, มาเตือน, หรือมาเป็นแผนที่... ทั้งหมดล้วนเป็นของขวัญที่ส่งตรงมาจาก 𝐇𝐢𝐠𝐡𝐞𝐬𝐭 𝐒𝐞𝐥𝐟 ที่รักและเข้าใจเราที่สุดค่ะ

กลไกการดึงเรื่องราวมาฝัน: กฎแห่งการสั่นสะเทือน

แล้วจิตของเราจะดึงเรื่องอะไรมาฝัน? ก็เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ นั่นคือ กฎแห่งการสั่นสะเทือน (𝐋𝐚𝐰 𝐨𝐟 𝐑𝐞𝐬𝐨𝐧𝐚𝐧𝐜𝐞/𝐀𝐭𝐭𝐫𝐚𝐜𝐭𝐢𝐨𝐧) ค่ะ สภาวะพลังงานของเราในช่วงเวลานั้นๆ จะดึงดูดเรื่องราวที่ 𝐕𝐢𝐛𝐫𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧 สอดคล้องกันจากคลังข้อมูลมหาศาลของประสบการร์ทุกชีวิตในทุกๆ 𝐓𝐢𝐦𝐞𝐥𝐢𝐧𝐞 ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ที่เก็บอยู่ในสนามพลังงานของเรา มาให้เราได้สัมผัส ซึ่งการสื่อสารก็จะแบ่งเป็น 2 รูปแบบหลักๆ คือ:

1. 🌀 ฝันเชิงสัญลักษณ์ (𝐒𝐲𝐦𝐛𝐨𝐥𝐢𝐜): 

   • เมื่อ 𝐇𝐢𝐠𝐡𝐞𝐬𝐭 𝐒𝐞𝐥𝐟 ต้องการสื่อสารถึงอะไรที่เป็นนามธรรม (𝐀𝐛𝐬𝐭𝐫𝐚𝐜𝐭) หรือเป็น "ความรู้สึก" ล้วนๆ เช่น ความกดดัน, ความเป็นอิสระ, หรือความกลัว ท่านจะดึงเอาสัญลักษณ์ต่างๆ มาประกอบกันเป็นเรื่องราว เช่น ฝันเรื่อง "สอบ" เพื่อให้เราในร่างนี้สามารถจับ "แก่นของความรู้สึก" นั้นได้

     
     

2. 🎬 ฝันตามภาพประสบการณ์จริง (𝐋𝐢𝐭𝐞𝐫𝐚𝐥): 

   • เมื่อพลังงานของเราสั่นสะเทือนไปตรงกับเหตุการณ์ที่รุนแรงหรือสำคัญมากๆ จากอีก 𝐓𝐢𝐦𝐞𝐥𝐢𝐧𝐞 หนึ่ง จิตของเราก็จะดึงดูดเอา "ภาพประสบการณ์จริงๆ" นั้นมาฉายให้เราเห็นเลยค่ะ เช่น ความฝันเรื่อง "สึนามิ" ก็คือการที่แจนได้กลับไปสัมผัสประสบการณ์จริงจากความทรงจำของดวงจิตโดยตรงนั่นเองค่ะ

ช่วงเวลาของความฝันที่ควรสังเกต

นอกจากนี้ เรายังสามารถสังเกต "ช่วงเวลา" ของความฝันได้อีกด้วยนะคะ เพราะในแต่ละคืนเราจะมีการรับสาส์นจากฝันในหลายระดับตามรอบวงจรการนอนหลับของเราค่ะ

1. 💫 ฝันในช่วงหลับลึก (𝐃𝐞𝐞𝐩 𝐒𝐥𝐞𝐞𝐩): ประสบการณ์ในช่วงนี้มักจะมาในรูปแบบของ 'ความรู้สึก' หรือ 'ภาพนิ่ง' ที่แวบขึ้นมาค่ะ มันเหมือน "คลื่นพลังงาน" ข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ถูกร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ทำให้บางครั้งเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ค้างอยู่ แต่จำเรื่องราวไม่ได้

   
   

2. 🎥 ฝันช่วง 𝐑𝐄𝐌 (Rapid Eye Movement): คลื่นสมองของเราจะทำงานในระดับที่สูงมาก ใกล้เคียงกับตอนที่เราตื่นเลยค่ะ ความฝันที่เกิดขึ้นในช่วง 𝐑𝐄𝐌 จึงมักจะมีลักษณะเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนภาพยนตร์ เท่าที่แจนสังเกตุตัวเองนะคะ พบว่า

   • 🌠 𝐑𝐄𝐌 รอบแรกๆ: มักจะเป็นการเดินทางไป "เรียนรู้" ใน 𝐓𝐢𝐦𝐞𝐥𝐢𝐧𝐞 อื่นๆ ค่ะ ความฝันช่วงนี้อาจจะดูเลือนราง จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ แต่ "การเรียนรู้" ได้เกิดขึ้นแล้ว สังเกตได้จากทุกคร้้งที่แจนตั้งคำถามก่อนนอน พอตื่นมากลับเข้าใจเรื่องนั้นๆ ได้เอง....เพื่อนๆลองไปปรับใช้ได้นะคะ 😁

   • 🪞 𝐑𝐄𝐌 รอบสุดท้ายใกล้ตื่น: มักจะเป็นความฝันที่ชัดเจนและจำได้ง่าย ซึ่งจะทำหน้าที่เหมือน "กระจกเงา" ที่สะท้อนสภาวะปัจจุบันของเรา ทั้งเพื่อ "ยืนยัน" การเติบโต หรือส่ง "สัญญาณเตือน" ให้เราได้ทบทวนตัวเองในวันนั้นๆ ค่ะ

     
     

จากการที่แจนได้ให้เวลาทบทวนตัวเอง, กลับเข้ามาถอดบทเรียน, และขัดเกลาพลังงานของตัวเองในทุกๆ วัน แจนพบว่าความฝันส่วนใหญ่ในตอนนี้ ไม่ได้มาในรูปแบบของ "สัญญาณเตือน" หรือ "เรื่องราวจากภพชาติอื่น" ที่น่าตื่นเต้นอีกแล้ว แต่กลายเป็นเหมือน "กระจกเงา" ที่สะท้อนสภาวะปัจจุบันของเราแบบวันต่อวัน เป็นการยืนยันถึงพัฒนาการเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งนี่คือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดค่ะ

คืนนี้... ลองเปิดใจรับ "ประสบการณ์" จากโลกภายในของเราดูนะคะ เพราะทุกสัญญาณ ทุกสัญลักษณ์ คือเสียงกระซิบที่เปี่ยมด้วยความรักจาก 𝐇𝐢𝐠𝐡𝐞𝐬𝐭 𝐒𝐞𝐥𝐟 ของเราเอง ที่พยายามนำทางให้เรากลับคืนสู่ความจริงแท้ที่งดงามที่สุด ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้รับการนำทางที่ล้ำค่า ที่จะทำให้ชีวิตของเรากระจ่างชัดและเบิกบานยิ่งขึ้นก็ได้ค่ะ

ในบันทึกต่อไป เราจะขยับจากการเดินทางในความฝัน มาสู่การอ่าน 'สัญญาณ' ที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันของเรากันค่ะ แล้วพบกันนะคะ 😊

𝐖𝐢𝐭𝐡 𝐃𝐞𝐞𝐩 𝐋𝐨𝐯𝐞 & 𝐑𝐞𝐬𝐩𝐞𝐜𝐭 𝐭𝐨 𝐀𝐥𝐥 𝐋𝐢𝐟𝐞 𝐀𝐬 𝐎𝐧𝐞 💕