🛑 บันทึกถอดรหัส #4: เมื่อความยากลำบากคือ 'สัญญาณ' จาก 𝐄𝐠𝐨

(บันทึกนี้อาจจะยาวกว่าปกติสักหน่อยนะคะ เพราะแจนตั้งใจเรียบเรียงขึ้นมาให้เป็นเหมือน 'คู่มือเข้าใจธรรมชาติของ 𝐄𝐠𝐨 ฉบับย่อ' อยากชวนทุกคนค่อยๆ อ่านและเดินทางสำรวจเข้าไปข้างในพร้อมๆ กันนะคะ 😊)

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทุกคน 🌸

ในบันทึก 3 ฉบับที่ผ่านมา เราได้เดินทางเข้าไปถอดรหัส "สัญญาณ" ที่จิตบริสุทธิ์เดิมแท้ (Highest Self) ส่งมาให้เราผ่าน "ความฝัน" ในยามหลับกันแล้วนะคะ

ในวันนี้ แจนอยากจะชวนมาสำรวจ "สัญญาณ" ที่ชัดเจนที่สุดในยามตื่นกันบ้างค่ะ... แต่ก่อนที่เราจะได้ยินเสียงกระซิบที่นำทางจาก Highest Self ได้อย่างชัดเจน เราจำเป็นต้องเริ่มแยก "สัญญาณ" ให้ออกก่อน ระหว่างเสียงของ Highest Self กับ 'เสียงรบกวน' ที่ดังกว่า ซึ่งก็คือเสียงจาก Ego ของเรานั่นเองค่ะ

ดังนั้น ในบันทึกนี้ เราจะมาทำความเข้าใจธรรมชาติของ Ego กันก่อน เพื่อที่เราจะได้ค่อยๆ ลดเสียงรบกวนนี้ลง และกลับไปได้ยินเสียงที่แท้จริงจากข้างในค่ะ

โดยแจนจะขอหยิบยก 'เฉดสีของ Fear-based Ego ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องเราอย่างหนักหน่วง' ขึ้นมาคุยกันเป็นพิเศษ... นั่นคือ ''เฉดที่ผูกติดความภาคภูมิใจเข้ากับความยากลำบาก" ค่ะ เพราะเป็นเฉดสีที่แจนเห็นบ่อยในคลาสที่แจนสอน และเป็นเฉดสีที่ชัดเจนมากๆ ในการดึงรั้งชีวิตของเราไว้ไม่ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างง่ายดาย.....ไม่ใช่เพราะมันชั่วร้าย แต่เพราะมันไม่รู้ว่ามีทางที่ง่ายกว่า

บ่อยครั้งที่ผู้ร่วมเดินทางในคลาส มาพร้อมกับเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตที่ "ถึก และ ทน" และเมื่อแจนได้แนะนำแนวทางปฏิบัติที่เรียบง่าย เป็นธรรมชาติ และตรงไปตรงมาเพื่อคลี่คลายปัญหา แจนมักจะสัมผัสได้ถึงคำถามในใจของพวกเขาว่า... "ทำแค่นี้เองเหรอ? แล้วมันจะเวิร์คไหมเนี่ย?"

ความลังเลสงสัยนี้ แจนเข้าใจดีที่สุดเลยค่ะ เพราะเมื่อก่อนตอนที่เริ่มมาท่องยุทธจักรฝึกจิตใหม่ๆ แจนก็เป็นแบบนั้นเป๊ะๆ เลย บางครั้งยังรู้สึกด้วยซ้ำว่าสิ่งที่อาจารย์สอนนั้น "จะพอเหรอ?" จนต้องดิ้นรนไปหาข้อมูลเพิ่ม ฝึกฝนเทคนิคที่ซับซ้อนเพิ่ม ด้วยความเชื่อที่ว่า "ของดีต้องได้มายาก"

วันนี้แจนอยากจะมาชวนคุยและตกผลึกเรื่องนี้ไปด้วยกันค่ะ ว่าทำไมเราถึงมักจะปฏิเสธ "ทางตรง" ที่เรียบง่าย แล้วเลือกที่จะอยู่ใน "เขาวงกต" ที่ซับซ้อนของปัญหาต่อไป

---

ทำไม Ego ถึงรักความซับซ้อน?

คำตอบสั้นๆ ก็คือ "Ego" ของเรานั่นเองค่ะ จิตสำนึกส่วนนี้ไม่ได้ชั่วร้ายนะคะ แต่มันเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ (Guardian) ที่มีหน้าที่สร้างและปกป้อง "ตัวตน" (Identity) ของเรา และมันได้เรียนรู้ที่จะใช้ความซับซ้อนเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานค่ะ

✨ เพราะมันคือเรื่องราวที่ใช้ยืนยัน 'ตัวตน' ของเรา: Ego ผูกคุณค่าของเราไว้กับเรื่องราวการต่อสู้ค่ะ ความยากลำบากกลายเป็นเหมือน "เหรียญเกียรติยศ" ที่พิสูจน์ว่าเราเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่ง การยอมรับทางแก้ที่ง่ายๆ จึงถูกมองว่าเป็นภัยต่อตัวตนที่มันพยายามสร้างมาอย่างยากลำบาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Fear-based Ego เฉดนี้จะภูมิใจในชีวิตที่ยากลำบากของตัวเอง และมักจะชอบเล่าเรื่องราวการต่อสู้ให้คนอื่นฟัง หรือเปรียบเทียบว่า "ฉันลำบากกว่าเธออีกนะ" เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของตัวเอง ต่างจาก Ego เฉดอื่นๆ ที่อาจจะชอบเล่าเรื่องความสำเร็จค่ะ (และเป็นตัวอย่างชัดเจนของ Fear-based Ego Mode ที่เราพูดถึงในบันทึก #1) ต่างจาก Ego ในโหมด Functional Ego ที่ทำงานด้วยสติและไม่ได้ผูกคุณค่าไว้กับความยากลำบากค่ะ

🔒 เพราะมันคือ 'ที่ซ่อน' ชั้นดีจากการรับผิดชอบ: ตราบใดที่ปัญหายังดูซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน เราก็จะมีข้ออ้างให้ตัวเองเสมอว่า "ฉันยังไม่พร้อม", "ฉันยังศึกษาไม่พอ" หรือ "มันยากเกินไป" ทั้งหมดนี้คือกลไกของ Ego ที่พยายามปกป้องเราจากความน่ากลัวของการต้อง รับผิดชอบต่อชะตาชีวิตของตัวเอง 100%

🌟 เพราะมันสร้างภาพลวงตาของความ 'รอบรู้แต่ไม่เข้าใจ': Ego ชอบสะสม "ข้อมูลที่ซับซ้อน" หรือทฤษฎีที่ลึกซึ้งจากภายนอกเยอะๆ ค่ะ รวมถึงข่าวสารและเรื่องราวของผู้คนรอบข้าง เพื่อที่จะรู้สึกว่าตัวเอง 'รู้มากกว่า' คนอื่น และมีเรื่องราวไปพูดคุยเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของ "ผู้รู้" แต่บ่อยครั้ง ความรู้นั้นกลับไม่ได้นำมาซึ่งความเข้าใจลึกซึ้งในตัวเองเลย การหมกมุ่นอยู่กับข้อมูลภายนอกและความคิดที่ซับซ้อนเหล่านี้ จึงเป็นเพียงเครื่องมือที่ Ego ใช้สร้าง "คุณค่าและภาพลักษณ์ที่พิเศษ" แบบฉาบฉวยเท่านั้น ซึ่งเป็นการดึงความสนใจออกจาก "ความจริงที่เรียบง่าย" ที่เราต้องเผชิญข้างในค่ะ

🎭 เพราะมันสร้าง 'คุณค่าที่ผิดๆ':

เราถูกปลูกฝังมากับความเชื่ออย่าง "No pain, no gain" หรือ "ของดีต้องได้มายาก" Ego จึงนำความเชื่อนี้ มาใช้กับการเติบโตภายใน มันรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ใช้ความพยายามอย่างสูงส่ง ในการครุ่นคิดถึงทฤษฎีที่ลึกซึ้ง การวิ่งหาข้อมูลภายนอก หรือองค์ความรู้ที่ซับซ้อน เปรียบเทียบข้อมูลที่มากมาย หรือฝึกฝนเทคนิคที่พิสดาร ที่ผิดธรรมชาติ.....เพราะกิจกรรมเหล่านี้ทำให้ Ego รู้สึก "พิเศษ" และ "มีความรู้" ทั้งที่บ่อยครั้งมันเป็นเพียงกิจกรรมทางความคิด การหมกมุ่นในสิ่งนอกตัว หรือการฝึกฝนที่ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเลย และอาจเป็นอันตราย ถ่วง/ถอนพัฒนาการของตัวเองอีกด้วยค่ะ

---

สาวลึกถึงราก: ตัวอย่างการมองให้เห็นถึงต้นตอ

เมื่อเรามองลึกลงไป จะพบว่า Ego เฉดสีนี้ มักจะมีพฤติกรรมชอบมองหาแง่ลบของสถานการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ และเตรียมตัวสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุด (Worst-case scenario) คิดเองเออเองไปก่อนเสมอ นั่นเพราะทั้งหมดนี้มีรากฐานมาจาก 'ความไม่มั่นคงภายใน' ค่ะ

ความไม่มั่นคงอะไร?...ความไม่มั่นคงที่กลัวว่าจะไม่มีคุณค่า กลัวว่าจะดีไม่พอ

และความกลัวนี้ ก็ไม่ได้ลอยขึ้นมาเฉยๆ แต่มันถูกหล่อเลี้ยงมาจาก "ระบบความเชื่อ" ที่อาจฝังรากลึก หล่อหลอมมาตั้งแต่จากการเลี้ยงดูในวัยเด็กหรือจากสังคมรอบข้าง เช่น:

🏆 "ฉันต้องพิสูจน์ตัวเอง คุณค่าของฉัน ขึ้นอยู่กับความสำเร็จที่ต้องดิ้นรนให้ได้มา เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ให้เป็นที่รัก"

💪 "ถ้าฉันไม่พยายามอย่างหนัก ฉันก็เป็นคนไม่มีค่า"

🔒 "ชีวิตที่ง่ายสบาย คือชีวิตของคนขี้เกียจ"

เราซึมซับความเชื่อเหล่านี้มาตอนไหน ?....ลองย้อนมองไปในวัยเด็ก จากคนในครอบครัว จากโรงเรียน จากสังคม? ความเชื่อเหล่านี้ไม่ใช่ของเราตั้งแต่แรก และ เราเลือกได้ที่จะไม่สานต่อความเชื่อนั้น ในชีวิตของเรา

เมื่อเราเข้าใจที่มาที่ไปถึงรากแบบนี้ เราทุกคน จะสามารถโอบกอดส่วนของ Ego ที่พยายามปกป้องเราอย่างสุดกำลัง ด้วยความเมตตา.... เราจะไม่ได้แค่ 'สู้' กับพฤติกรรมที่ผิวเผิน แต่เราจะสามารถกลับไป 'เยียวยา' และ 'ปลดปล่อย' ความเชื่อที่เป็นต้นตอของความกลัวนั้นได้ ซึ่งนี่คือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงค่ะ

---

ตัวอย่างที่แจนชอบเป็นพิเศษ 🛶

มีตัวอย่างหนึ่งที่แจนชอบมาก มาจากคำสอนของ Abraham-Hicks ค่ะ เพราะมันทำให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด ผ่านเรื่องเล่าของการ "พายเรือ"

💡 ลองจินตนาการว่าชีวิตคือแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลไปสู่ทุกสิ่งที่คุณปรารถนาอยู่แล้วนะคะ...

Ego จะบอกให้คุณพาย "ทวนน้ำ" (Upstream) อย่างสุดกำลัง มันกระซิบว่า "นี่แหละคือชีวิต! คือการต่อสู้! เราต้องแข็งแกร่ง! เราต้องพยายาม!" คุณจะรู้สึกถึงแรงต้านของสายน้ำ กล้ามเนื้อที่ปวดร้าว และความเหนื่อยล้า... แต่คุณก็รู้สึก "ภูมิใจ" ในความพยายามนั้น

แต่ความจริงของจักรวาลคือ กระแสธารแห่งชีวิตดีงาม (Stream of Well-being) นั้นไหลไปในทิศทางเดียวกับความสุขและความสำเร็จอยู่แล้ว สิ่งที่เราต้องทำทั้งหมดก็แค่ "วางไม้พายลง" และ "ปล่อยเรือลอยตามน้ำ" (Downstream) คือการปล่อยวาง เลิกต่อต้าน และไว้วางใจให้กระแสธารแห่งชีวิตนำทางไปค่ะ

และที่สนุกไปกว่านั้น Abraham-Hicks ยังได้พูดถึง 'ข้ออ้างของ Ego' ที่จะเลือกพายทวนน้ำต่อแบบขำๆ แต่จริงสุดๆ ว่า:

👉 "อะไรนะ? จะให้ฉันปล่อยเรือลอยตามน้ำน่ะเหรอ? คนที่ทำแบบนั้นคือคนขี้เกียจ!"

👉 "ดูอนุสาวรีย์เหล่านั้นสิ! เขาสร้างให้คนที่พายทวนน้ำสู้ชีวิตกันทั้งนั้นแหละ!"

👉 "ไม่มีใครได้รับรางวัลจากการปล่อยให้เรือลอยไปเฉยๆ หรอกน่า!"

ซึ่งมันสะท้อนความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาว่า "ความสำเร็จที่แท้จริงต้องมาจากการต่อสู้ที่ยากลำบากเท่านั้น" ได้อย่างตรงจุดเลยค่ะ 😊

✨ ลองถามตัวเองเบา ๆ:

"หยุดพักและโอบกอดความรู้สึกนั้นไว้... ถ้าคุณวางไม้พายลงในวันนี้ คุณกำลังกลัวว่าจะสูญเสีย 'อะไร' ไป?” (เช่น กลัวสูญเสียคุณค่า กลัวถูกมองว่าขี้เกียจ) ”

🌈 "หรือนี่คือครั้งแรก... ที่เรากำลังจะอนุญาตให้ชีวิตมันง่ายและสวยงามจริงๆ เสียที?"

---

กลไกธรรมชาติที่ตรงไปตรงมา

หลังจากเดินทางผ่านความซับซ้อนมามากมาย แจนพบว่าแก่นแท้ของกลไกธรรมชาติที่สร้างสรรค์ทุกสิ่งนั้น ไม่ได้มีเป็นร้อยข้อ แต่สามารถสรุปได้เป็น 2 กฎหลักที่ตรงไปตรงมาและทำงานร่วมกันเสมอ ค่ะ

💎 กฎแห่งการสั่นสะเทือน (Law of Resonance)

กฎข้อนี้คือหัวใจของการ "สร้าง" และ "ดึงดูด" ค่ะ มันบอกเราว่า ทุกสิ่งในจักรวาลคือพลังงานที่สั่นสะเทือนในความถี่ที่แตกต่างกัน ตัวเราเองก็คือสถานีส่งคลื่นสั่นสะเทือนตลอดเวลา ผ่าน "สภาวะ" ภายในของเรา (ความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ) เมื่อเราสั่นสะเทือนด้วยความรู้สึกแบบไหน เราก็จะดึงดูดคน สถานการณ์ และประสบการณ์ที่มีคลื่นความถี่เดียวกันเข้ามาในชีวิต เปรียบเหมือนการเปิดวิทยุไปที่คลื่น FM 98.5 MHz เราก็จะไม่มีทางได้ยินเสียงจากคลื่น 102.5 MHz ได้เลย คุณเป็นคลื่นแบบไหน คุณก็ได้เจอแบบนั้น มันคือกฎฟิสิกส์ที่เรียบง่ายและเป็นจริงเสมอค่ะ

และ แน่นอนว่า ถ้าเราให้ค่ากับความยากลำบากหรือความซับซ้อน (ซึ่งมีคลื่นของความต้านทาน (Resistance) แฝงอยู่) เราก็จะยิ่งดึงดูดสถานการณ์ที่มีแรงสั่นสะเทือนตรงกันเข้ามา ชีวิตเราก็จะเต็มไปด้วยความยากลำบากและซับซ้อนค่ะ

⚖️ กฎแห่งผลของการกระทำ (Law of Consequences)

หากกฎข้อแรกคือ "สภาวะที่เป็น" (State of Being) ซึ่งเป็นคลื่นสั่นสะเทือนที่เราส่งออกไปตลอดเวลา กฎข้อนี้ก็คือ "พลังงานที่เราส่งออกไปทุกรูปแบบ" ค่ะ

มันคือหลักการของเหตุและผลที่เรารู้จักกันดีในชื่อ "กฎแห่งกรรม" แต่มันไม่ใช่เรื่องของศีลธรรมหรือการลงโทษ แต่เป็นกฎธรรมชาติของการส่งและรับพลังงาน Action = Reaction เพื่อให้เราได้เรียนรู้ จากการรับผล และรับผิดชอบในพลังงานที่เราส่งออกไป....เมื่อเราส่งพลังงานผ่านการกระทำ คำพูด หรือแม้แต่เจตนาแบบไหนออกไป พลังงานนั้นก็จะสะท้อนผลลัพธ์ในรูปแบบเดียวกันกลับมาหาเราเสมอ กฎข้อนี้ให้อำนาจเราอย่างมหาศาล เพราะมันหมายความว่า ถ้าเราต้องการผลลัพธ์แบบไหน เราเพียงแค่เริ่มต้นสร้าง "เหตุ" ที่สอดคล้องกันเท่านั้นเอง

เมื่อเข้าใจ 2 กฎนี้ จะเห็นว่าไม่มีอะไรซับซ้อนเลย นี่ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่คือกฎของธรรมชาติค่ะ

เวลาที่ผู้ร่วมเดินทางในคลาส มาเล่าเรื่องราวต่างๆให้แจนฟังในคลาส ซึ่งส่วนใหญ่จะเล่าผ่านสายตา Ego และมักจะมีเรื่องราวที่ติดขั้ว หรือ จมดราม่าเสมอ แจนจะชวนให้พวกเขานำเรื่องราวเหล่านั้นมาทาบกับ "กลไกธรรมชาติ" ที่ตรงไปตรงมานี้เสมอค่ะ เพื่อช่วยให้เราได้เห็นภาพตามความเป็นจริง และค่อยๆ ปรับมุมมองกลับมาสู่ความเป็นกลางได้ง่ายขึ้นค่ะ

---

แล้วเราจะเลือกความเรียบง่ายได้อย่างไร?

การก้าวข้ามความยึดติดในความซับซ้อนของ Ego คือการฝึกฝนเพื่อกลับสู่ความจริงแท้ ซึ่งสามารถปรับใช้ได้กับ Ego ในทุกเฉดสีเลยค่ะ:

🌸 1. ฝึกขอบคุณจากหัวใจ:

ลองฝึกขอบคุณทุกสิ่งอย่างในแต่ละวันให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ใช่แค่การพูดลอยๆ นะคะ ให้เรารู้สึกขอบคุณจริงๆ และรู้ว่าเราขอบคุณสำหรับเรื่องอะไร เช่น "ขอบคุณกาแฟแก้วนี้ที่ทำให้เช้านี้สดชื่น" "ขอบคุณตัวเองที่ตื่นมาเริ่มต้นวันใหม่อย่างแข็งแรง" การฝึกแบบนี้จะช่วยปรับคลื่นพลังงานของเราให้สูงขึ้น สู่สภาวะ ซาบซึ้งในคุณค่าของชีวิต (Appreciation of Life) ซึ่งจะทำให้ Ego ที่คอยปกป้องตัวเองรู้สึกปลอดภัยและสงบลง ทำให้เราพร้อมที่จะรับสารจาก Highest Self ได้ชัดเจนขึ้นค่ะ

🧘‍♀️ 2. ฝึกสติให้เท่าทัน Ego:

เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกถึงแรงขับเคลื่อนจาก Ego (เช่น ความกลัว, ความโกรธ, ความกังวล) ซึ่งปกติจะแสดงออกให้เห็นทางร่างกายด้วยค่ะ เช่น หายใจสั้น กระสับกระส่าย มีอาการตึงเกร็งที่คอ บ่า ไหล่ หรือรู้สึกปั่นป่วนที่ท้องน้อย เป็นต้น....ให้ฝึก "ปล่อย ถอย ลอยตัว" ออกมาเป็นผู้สังเกตการณ์ก่อนค่ะ ลองสังเกตลักษณะของเขาดูเล่นๆ ว่าเขามีบุคลิกเหมือนสัตว์ประเภทไหน? แล้วลอง "ตั้งชื่อเล่น" ให้เขา พอเราทำให้เขามีลักษณะที่ชัดเจน จับต้องได้ และเรียกชื่อได้ จะทำให้เราแยกเสียงของ Ego ออกจากเสียงของ Highest Self ได้ง่ายขึ้นค่ะ สำหรับ Ego ของแจนเองมีลักษณะเป็นสุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยน ชื่อว่า "Bimbo" ค่ะ ที่แจนให้เขามีลักษณะเป็นสุนัข ก็เพราะเขาสามารถนำมาฝึกได้ สอนได้ และให้ทำงานร่วมกับ Highest Self ของเราได้อย่างกลมกลืนค่ะ

🌱 3. ฝึกสาวรากของ Ego:

Ego ถูกขับเคลื่อนจากโปรแกรมในจิตใต้สำนึก (Subconscious) การสาวรากก็คือการดึงความเชื่อที่เป็นต้นตอจาก 'ความมืด' ของจิตใต้สำนึก ขึ้นมาสู่ 'ความสว่าง' ของจิตสำนึกรู้ (Conscious) ของเรา เหมือนที่เราได้ทำในบทความนี้ ที่สาวลึกไปจนเจอ "ความกลัวว่าจะไม่ดีพอ" นั่นเองค่ะ ลองถามตัวเองเบาๆ ว่า "Ego (ตามชื่อเล่นที่เราตั้ง) เขากำลังพยายามปกป้องเราจากความกลัวอะไรอยู่นะ?" สำหรับแจนเอง พอเรารู้ว่า Bimbo กำลังปกป้องเราจากความกลัวเรื่องอะไร มีรากจากควมเชื่ออะไร แจนก็จะเรียกเขาขึ้นมาในจินตนาการเพื่อพูดคุย ปลอบโยน และสอนความเป็นจริงกับเค้า ด้วยความรัก ความเมตตาค่ะ .....เมื่อเขาเริ่มเข้าใจ เขาก็จะค่อยๆ สงบลงและผ่อนคลาย

💎 4. ฝึกทาบเรื่องราวกับกฎธรรมชาติ:

เมื่อเราเห็นเรื่องราวของ Ego แล้ว ให้นำมาทาบกับกฎธรรมชาติเพื่อ "ถอดบทเรียน" ค่ะ ลองถามตัวเองเล่นๆ เช่น วันนี้เราเจอเพื่อนร่วมงานพูดจาไม่ดีใส่เรา แทนที่จะโกรธหรือน้อยใจ ลองถามตัวเองว่า... 'ช่วงนี้ในใจเรามีคลื่นของความหงุดหงิดหรือตัดสินตัวเองอยู่หรือเปล่านะ ที่ไปดึงดูดสถานการณ์แบบนี้เข้ามา?' (Law of Resonance) และ 'ก่อนหน้านี้เราอาจจะเผลอพูดจาห้วนๆ กับใครไปโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า?' (Law of Consequences) การฝึกแบบนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองของเรา จากการเป็น 'เหยื่อ' ของสถานการณ์ มาเป็น "ต้นทาง" และ 'ผู้เรียนรู้' ที่มองเห็นความเชื่อมโยงของทุกอย่างที่เกิดขึ้น และ วนมาจบที่ตัวเอง แล้วถอดบทเรียนเพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ

🔑 5. ใช้ 'กุญแจหลัก' ปลดล็อกทุกเกมของ Ego:

จากประสบการณ์ของแจนเอง สิ่งที่ทำให้แจนค่อยๆ หลุดออกมาจากเรื่องราวของ Ego ได้ทีละชั้นๆ ก็คือการกลับมาที่คำถามเรียบง่ายแต่สำคัญที่สุดเสมอค่ะ นั่นคือ:

"ความเป็นจริงคืออะไร? ธรรมชาติที่แท้จริงคืออะไร? ธรรมชาติหรือสภาวะที่แท้จริงของ ตัวตนที่แท้จริง หรือ Highest Self ของเรา คืออะไร? "

คำถามนี้ ใช้ได้ตั้งแต่ ความเป็นจริงของสถานการณ์ จนถึงความเป็นจริงสูงสุดของชีวิต (Ultimate Truth) ค่ะ ...ทำให้เรา "'ปล่อย ถอย ลอยตัว" ออกมาจาก Drama ได้ง่าย เพื่อมองให้เห็นที่มาที่ไปของทุกเรื่องราว ด้วยใจที่เป็นกลาง (ถอดขั้ว) และ ใจที่เป็นธรรม (มองตามธรรมชาติความเป็นจริง) หรือ มองผ่านสายตา ของ Highest Self ของเราจริงๆค่ะ

Ego ชอบ Drama ค่ะ มันเติบโตจากเรื่องราวที่ซับซ้อน อารมณ์ที่ขึ้นลง และการตัดสินถูกผิด แต่ "ความเป็นจริง" หรือ "ธรรมชาติแท้" นั้นเรียบง่าย เป็นกลาง และสงบนิ่งเสมอ การถามคำถามนี้จึงเหมือนการเปิดไฟส่องสว่างเข้าไปในโรงละครที่มืดมิดค่ะ ทันทีที่แสงแห่งความจริงส่องเข้ามา... ละครดราม่าของ Ego ก็จะจบลงทันที เพราะมันไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในแสงสว่างแห่งความเป็นจริง มันคือ 'กุญแจหลัก' (Master Key) ที่จะนำทางเรากลับมาสู่ความสงบและความเรียบง่ายของปัจจุบันขณะเสมอค่ะ

---

บทสรุป:

สุดท้ายแล้ว การเลือกเดินทางที่เรียบง่าย ไร้แรงต้านทาน (Go with the Flow) คือการแสดงความกล้าหาญที่จะวางข้ออ้างทั้งหมดลง และยอมรับความจริงที่ตรงไปตรงมาที่ว่า "เราคือผู้สร้างชีวิตของตัวเอง" และการยอมรับกลไกธรรมชาติที่แสนจะเรียบง่ายนี้ ก็คือการเปลี่ยนจากการ Fear-based Ego ที่กำลัง 'พายทวนกระแส' ไปสู่การขับเคลื่อนด้วย Functional Ego ในโหมด 'การลงมือทำที่ได้รับการนำทาง' (Inspired Action) ซึ่งเป็นการลงมือทำที่มาพร้อมกับความชัดเจน รู้สึก Joy เบา ไหลลื่น สอดคล้อง และเป็นธรรมชาติของ Highest Self นั่นเองค่ะ

จำไว้นะคะ… ทุกครั้งที่คุณเลือกความเรียบง่าย คุณไม่ได้ละทิ้งความแข็งแกร่ง แต่คุณกำลังเลือกทางที่ตรงที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุด ในการสร้างสรรค์ชีวิตของตัวเอง 💎✨

และเมื่อเราเริ่มแยกแยะและเข้าใจเสียงของ Ego ได้ชัดเจนขึ้นแล้ว... ในบันทึกฉบับที่ 5 เราจะมาถอดรหัส 'สัญญาณ' รูปแบบอื่นๆ ที่ Highest Self ส่งมาหาเราผ่านชีวิตประจำวันในทุกขณะที่ลืมตากันต่อนะคะ แล้วพบกันค่ะ

สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากทำความเข้าใจเรื่องการสื่อสารกับ 𝐇𝐢𝐠𝐡𝐞𝐬𝐭 𝐒𝐞𝐥𝐟 เทคนิคการตั้งชื่อและฝึก 𝐄𝐠𝐨 รวมถึง 𝐈𝐧𝐬𝐩𝐢𝐫𝐞𝐝 𝐀𝐜𝐭𝐢𝐨𝐧 ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้จาก คลิปนี้ นะคะ 😊

𝐖𝐢𝐭𝐡 𝐃𝐞𝐞𝐩 𝐋𝐨𝐯𝐞 & 𝐑𝐞𝐬𝐩𝐞𝐜𝐭 𝐭𝐨 𝐀𝐥𝐥 𝐋𝐢𝐟𝐞 𝐀𝐬 𝐎𝐧𝐞 💕