🏔️ บันทึกพิเศษ: การเดินทางภายใน... บนเส้นทางสู่ 𝐄𝐯𝐞𝐫𝐞𝐬𝐭
- ๋๋Jan Laman

- Nov 1
- 3 min read
Updated: Nov 10

บันทึกนี้อาจจะแตกต่างจากบันทึกอื่นๆ ในอัลบั้มนี้เล็กน้อยนะคะ... เพราะมันไม่ใช่การเดินทางผ่านการสะกดจิต แต่คือการเดินทางภายในที่เกิดขึ้นจริง ระหว่างการเดินทางทางกายภาพที่ท้าทายที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของแจนค่ะ 🥰
รูปนี้ถ่ายตอนไป 𝐓𝐫𝐞𝐤𝐤𝐢𝐧𝐠 เส้นทาง 𝐄𝐯𝐞𝐫𝐞𝐬𝐭 𝐁𝐚𝐬𝐞 𝐂𝐚𝐦𝐩 𝐂 (13 วัน) เมื่อ 10 ปีที่แล้ว (April 2014) ค่ะ 🏔
พอดีแจนได้รับ inspiration โดนสะกิดเบาๆ ว่าควรแชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้ในตอนนั้น มาให้อ่านกันสนุกๆค่ะ 🥰 เพราะจะช่วยทำให้พวกเราเห็นความสัมพันธ์ของ Mind-Body-Spirit ในระดับพื้นฐานได้ดีขึ้นค่ะ และช่วยจุดประกายให้ดูแลชีวิตแบบองค์รวมกันนะคะ....ตอนนั้นก็ไปกับน้องสาว และ น้องเขย ทริปนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ที่ได้ breakthrough ข้อจำกัดทางร่างกายและจิตใจตัวเองสุดๆ ต้องขอบคุณน้องสาวสุดที่รัก ที่ริเริ่มทริปนี้ และ ชวนแจนไปด้วยกันค่ะ🥳
1. ภารกิจอัน "ถึก" และการเตรียมตัว
ต้องขอบอกก่อนว่า เส้นทางนี้ "ถึก" มากทุกคน ปกติแล้วเวลาจะไป Trekking เส้นทางนี้ ต้องเตรียมตัว เตรียมร่างกาย กันเป็นเดือนๆเลย วิ่งกันวันละ 10 km เลยทีเดียว เพื่อให้กล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ รวมถึง หัวใจ🫀 และ ปอด 🫁 แข็งแรง แกร่ง อยู่ตัว💪💪💪
การเตรียมพร้อม 2 สัปดาห์สุดท้าย:
ตอนนั้น แจนก็ชะล่าใจไปหน่อย 😌 มัวแต่ทำงาน ...มารู้ตัวอีกที เหลือเวลาแค่ 2 สัปดาห์ เพื่อเตรียมร่างกาย ตอนนั้นทำได้แค่ เดินขึ้นลงบันไดแบกเป้ 10 kg ประมาณ 45 นาที ช่วงหลังเลิกงาน โชคดีที่ ฝึกนั่งสมาธิปรับสมดุลฐานจักระ ฝึกสติ และฝึกปราณ ฝึก Qigong ทุกวัน ต่อเนื่องมาเป็น 10 กว่าปีแล้ว จึงทำให้สนามพลังงานค่อนข้างสมดุล ส่งผลให้ร่างกายปรับตัว และ ฟื้นตัวง่ายค่ะ 😊
รายละเอียดเส้นทาง:
เส้นทางนี้ ต้องเดินขึ้น-ลงเขา กันวันละ 6-8 ชั่วโมง ค่อยๆขึ้นไต่ระดับไปที่ความสูง 5,000 กว่า เมตร เหนือระดับน้ำทะเล สภาพอากาศ และ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปตามระดับความสูง ในทริปนี้เรามีไกด์ 1 คน และลูกหาบ 2 คน ค่ะ 🏔
ถึงแม้เราจะมีลูกหาบแบกกระเป๋าให้ 20+ kg. แต่เราก็ต้องแบก gear อาหารบางส่วน และน้ำดื่มอย่างน้อย 2 ลิตร ของเราไปเอง ซึ่งกระเป๋าที่แบกเองน้ำหนักก็ประมาณ 10 kg แล้ว
อากาศช่วงนั้นช่วงกลางวันก็ 10 กว่าองศา พอตกกลางคืนส่วนใหญ่ก็จะติดลบ
มีหลายช่วงที่ต้องเดินบนทางแคบๆ บนหน้าผาสูงชัน บางวันต้องเดินฝ่าพายุหิมะ
สภาพอากาศพอยิ่งขึ้นไปสูงออกซิเจนก็เบาบาง ความดันอากาศจะลดลง ในวันที่ 4 จึงมีพัก 1 วัน เพื่อปรับร่างกาย หากนักเดินทาง ร่างกายปรับตัวไม่ได้ ก็จะมีอาการ Altitude sickness ปวดหัว สมองบวม คลื่นไส้ กินอาหารไม่ได้ ซึ่งอาจต้องให้ Helicopter ขึ้นไปรับกลับลงมา 🚁🚁🚁 ....บอกแล้วว่า "ถึก" จริงไรจริง อิ อิ 😁
2. การประคอง 𝐌𝐢𝐧𝐝-𝐁𝐨𝐝𝐲-𝐒𝐩𝐢𝐫𝐢𝐭 ในช่วงแรก
ช่วง 3-4 วัน แรก วิวธรรมชาติตามเส้นทางเดินสวยมาก ป่าเขาเขียวขจี ลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขาเป็นสี Turquoise สวยงามมากๆเลย แสงแดดและอากาศกำลังดี.....แต่สำหรับร่างของแจน มันโหดมาก 😅 เพราะตอนนั้นเป็นประจำเดือนด้วย
การจัดการร่างกาย (Body):
แต่ละวันเดินจนก้าวขาไม่ออกแล้ว กล้ามเนื้อพัง วันต่อวัน
ระหว่างวันก็ต้องทานน้ำตลอด ค่อยๆจิบไป ทานให้ได้ขั้นต่ำ 4 ลิตร ต่อวัน เพราะน้ำช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น
อาหาร (Superfood): ปกติแจนไม่ทานเนื้อสัตว์ และรู้ว่าร่างกายต้องการโปรตีนและไขมันดี รวมถึงวิตามินเกลือแร่...ตอนนั้นก็สั่งอาหารง่ายๆ เป็น มาม่าเนปาล ต้มใส่ไข่ 3 ฟอง ใส่ผัก เป็นซุปร้อนๆกินแบบนี้ทุกมื้อ และ เตรียมลูกพรุน กล้วยตาก ชอคโกแลต ทานระหว่างทาง...จริงๆเราสามารถกินไข่ได้วันละ 6 ฟองเลยนะ มันดีมาก ขอบอก 🤓
การจัดการจิต (Mind & Spirit) เพื่อรักษาร่างกาย :
สังเกตว่า พอร่างกายเหนื่อยมากๆ จิตหรือสำนึกรู้ (Conscious) ของเราจะไปจับที่ความเหนื่อยล้า และ ปวดเมื่อยตามตัว และพอสติเริ่มอ่อนกำลัง พวกความคิดลบๆ เริ่มเข้ามาบางๆ
พอแจนรู้ตัว ก็เริ่ม ท่องชินบัญชรต่อเนื่องเลย (ตอนนั้นยังมีสวดมนต์บ้าง)
และ ย้ายสำนึกรู้ออกมาอยู่กับสัมผัส 5 เต็มๆ มองวิวทิวทัศน์ข้างนอก ฟังเสียงสรรพสัตว์รอบตัว
บางช่วงก็เปิดฟังเสียง Audio Book ของหนังสือ Conversation with God ไปเรื่อยๆ แต่ร่างยังเหนื่อยเกินไปทำให้ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่....
ต้องประคองร่างกาย และ จิตใจไป เพราะถ้าจิตป่วน ปราณป่วน และ สนามพลังงานจะป่วนด้วย การซ่อมแซมร่างกายก็จะไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะต้องซ่อมและสร้างให้เสร็จทันกันวันต่อวัน มิเช่นนั้น ร่างจะทรุดลงเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาการเดินทาง 😊
การฟื้นฟูระหว่างพัก:
พอกลับถึงที่พัก ทานอาหารเสร็จก็แยกย้ายกันเข้าห้องพัก ไม่ได้อาบน้ำหรอกค่ะ อากาศหนาวมาก ไม่ได้อาบน้ำต่อเนื่อง 7-8 วันเลย
แต่แจนก็เช็ดตัว ทาน้ำมันนวดตามร่างกาย และ ปรับสนามพลังงานด้วย Qigong และ นั่งสมาธิกำหนดฐานจักระ (ช่วง 2 วันแรกมีทานยาคลายกล้ามเนื้อไปด้วย)
การนอนสำคัญมากค่ะ: รีบเข้านอนตอนสองทุ่ม นอนให้อิ่มให้พอ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเองค่ะ...พอตื่นเช้าตอนตีห้า ก็ทำ Qigong และ นั่งสมาธิกำหนดฐานจักระ อีกรอบก่อนออกไปทานอาหารเช้า...ทำแบบนี้ทุกวันเลยจ้า 😄
3. การเข้าสู่สภาวะ Flow และ Breakthrough
3.1 ร่างกายเข้าที่ (วันที่ 5)
พอวันที่ 5 ร่างกายเริ่มเข้าที่ กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาละ จากที่รู้สึกกางเกงแน่นขึ้น อาการปวดหลัง ปวดเข่า และ ปวดข้อเท้า หายไป และ เม็ดเลือดแดงสร้างขึ้นมาเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกับสภาพอากาศที่ออกซิเจนลดลง (สังเกตุจากไม่ต้องใช้ออกซิเจนกระป๋องเหมือนคนอื่น) และ ไม่มีอาการปวดหัว คลื่นไส้ หรือ Altitude Sickness ใดๆ.....
สภาวะดี: กินง่าย ถ่ายคล่อง นอนหลับสบาย อารมณ์ดี ตามปกติเลย.....
สำนึกรู้เป็นอิสระ: พอร่างกายซ่อมตัวเองเสร็จ ทำให้สำนึกรู้ และ ปราณ ไม่เกาะกับร่างกายเพื่อซ่อมแล้ว สำนึกรู้จึงไหลออกมารับรู้ที่สัมผัส 5 เต็มๆ ปราณไหลเวียน Flow ดีมาก วันนี้ถึงเริ่มรู้สึกสนุกสนาน Joyful หลังจากนี้ ทุกอย่างก็รื่นเริง เบิกบาน สวยงามไปหมดเลย 😁
3.2 บทเรียนจากลูกหาบ (การเปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหว)
พอวันที่เดินขึ้น Everest Base Camp C ก็ตามภาพเลยจ้า เย้!!! 😍
พอวันที่ 9-10 เริ่มต้องมีช่วงที่เราเดินบนน้ำแข็ง หรือ หิมะ พื้นลื่นมาก... เราก็เริ่มไม่สนุกละ
การสังเกต: จึงหันไปมองน้องลูกหาบ เห็นใส่แต่รองเท้าธรรมดา และก็แบกของหนัก ไม่ใช้ Pole ด้วย ทำไมเหมือนเดินตัวปลิว 🤨...มองน้องๆ ลูกหาบ ว่าเค้าทำยังไง ปรากฏว่าเราเห็นน้องๆ เค้า กระโดดไปตามยอดหิน ที่โผล่พ้นออกมาจากน้ำแข็ง และจะมีแรงส่งจากการกระโดด เป็น Momentum ต่อเนื่องด้วย....
การปรับใช้: เท่านั้นแหละ ข้างในบอกว่าถ้าน้องๆทำได้ เราก็ทำได้เหมือนกัน เลยเก็บ Pole เข้ากระเป๋า และ เริ่มกระโดดตามน้อง มันสนุกมาก 😁 กระโดดต่อเนื่องๆไปเรื่อย ได้ใช้สติเต็มๆในการมองยอดหินที่โผล่มา และไม่มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เพราะการกระโดดใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ใช้มาตลอดทริปที่ผ่านมาจนล้า ทำให้วันหลังๆ พอเจอทางที่เป็นบันไดแจนก็กระโดดตลอด กระจายโหลดการใช้กล้ามเนื้อ
3.3 ช่วงเดินลง (Joyful Flow)
วันที่ 11-12 เป็นช่วงเดินลงลดระดับความสูง อากาศเริ่มไม่หนาวมาก สบายมากเลย วิวทิวทัศน์ข้างล่างสวยมาก มีความสุข เดินไปฮัมเพลงไป ร้องเพลงบ้าง กระโดดโลดเต้นประหนึ่ง The Sound of Music อิ อิ ....จนเพื่อนนักเดินทางที่เดินสวนขึ้นมา ยิ้มให้และหัวเราะคิกคัก 🤩
4. การตกผลึกในปัจจุบัน: Self-Love & Self-Care
บทสรุปจากทริป: ทริปนี้ ได้เรียนรู้เยอะมาก และได้ขุดนำความรู้ทั้งหมดที่มีในตอนนั้น เรื่องกลไการทำงาน และ การปรับสมดุล Mind-Body-Spirit มาปรับใช้เต็มๆ....เราจะสามารถรักและดูแลชีวิตของเรา (Self-Love, Self-Care) ได้ตามระดับความรู้ ความเข้าใจ ชีวิตของเราค่ะ รู้และเข้าใจมาก ก็ดูแลจัดการได้มาก รู้น้อยก็ดูแลได้น้อย ตามนั้นเลยจ้า 🥰
การยกระดับชีวิต: มาถึงตอนนี้ เวลาผ่านมา 10 ปี แจนดูแลชีวิตตัวเองได้ดีขึ้นมาก เพราะได้เรียนรู้และมีประสบการณ์เพิ่มหลายเรื่อง เพื่อนำมาซ่อมสนามพลังงานของตัวเอง เพราะเล่นซนจนพัง อิ อิ 😁 เช่น เรื่อง Energy Medicine, กลไกธาตุทั้ง 4, spiritual traveling (การเดินทางภายใน) และ ATMA/Source/HU เพิ่มขึ้น ได้เห็นภาพใหญ่ทั้งหมดของชีวิต....
ผลลัพธ์ของการเข้าใจ: พอเราเข้าใจแตกฉานขึ้น จับเจอแก่น ชีวิตจะง่ายและเบาขึ้น ยืดหยุ่นและลื่นขึ้น เป็นอิสระ และ สนุกขึ้น...Self-Love/Self-Care การดูแลชีวิตแบบองค์รวมจะเริ่มเป็นธรรมชาติมากขึ้น ชีวิตก็ค่อยๆไต่ระดับ spiral up ช้าๆ แต่ชัวร์ เอาให้ฐานแน่น เพราะเคยตกลงมาหลายรอบ อิ อิ 🤓...พอ vibration ของเราเบาขึ้น แตะ High Vibe ระดับ Flow of Life ที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ของเรา....ก็ Go with Flow รักษาระดับไปเรื่อยๆเลยค่ะ.... 😄
สุขภาพที่ดี: ให้สังเกตง่ายๆ ว่า ถ้า Mind-Body-Spirit สนามพลังงานโดยรวมของเราดี เสถียร สมดุล เราจะไม่ป่วยเลยค่ะ แม้แต่เป็นหวัดเล็กๆน้อยๆ แจนไม่เคยป่วยเลย มา 10 กว่าปีแล้วค่ะ....
ทริปนี้ Happy มาก ประเมินค่าไม่ได้เลยค่ะ ถ้ามีโอกาสก็จะ Trekking อีกค่ะ แต่อาจจะเลือกเส้นทางที่ไม่โหดเท่านี้ ตามวัย อิ อิ
𝐖𝐢𝐭𝐡 𝐃𝐞𝐞𝐩 𝐋𝐨𝐯𝐞 & 𝐑𝐞𝐬𝐩𝐞𝐜𝐭 𝐭𝐨 𝐀𝐥𝐥 𝐋𝐢𝐟𝐞 𝐀𝐬 𝐎𝐧𝐞 💕



Comments